ธรรมชาติกับชีวิต
ทัศนียภาพอันสวยงามภายในศูนย์พัฒนาห้วยฮ่องไคร้
(๑)
เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2555 ที่ผ่านมา น้องแพรวพราว(ลูกสาวคนเล็ก)ได้รบเร้าให้ผมพาเธอไปเที่ยวชมสวนสัตว์เชียงใหม่ เพราะเธออยากจะไปดูสัตว์หลายอย่างที่เธอชื่นชอบ แต่เนื่องจากเคยพาไปหลายครั้งแล้วและช่วงนี้มีนักท่องเที่ยวไปชมกันจำนวนมาก ทำให้การไปมาค่อนข้างจะลำบาก ผมก็เลยพาเธอไปชมสวนสัตว์ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ แทน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านแม่ตาดมากนัก
เมื่อไปถึง ผมพาเธอและเด็กคนอื่นๆ เดินเที่ยวชมสัตว์ต่างๆ ภายในศูนย์ห้วยฮ่องไคร้ ซึ่งมีอยู่หลายอย่างด้วยกัน เช่น ลิง หมูป่า กวางป่า เก้ง นกยูง ไก่ป่า และนกนานาชนิด รวมทั้งพาเที่ยวชมส่วนอื่นๆ อีกหลายอย่าง ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขและสนุกสนานของเด็กๆ ทุกคน
ที่จริง ผมเคยไปที่ศูนย์ห้วยฮ่องไคร้แห่งนี้แล้วหลายสิบครั้ง บางครั้งก็ไปอบรมสัมมนา บางช่วงก็ไปขอกล้าไม้มาปลูกในหมู่บ้าน บางเวลาก็พาเพื่อนๆ ไปนั่งตกปลาผ่อนคลายอารมณ์ และบางครั้งก็พาเพื่อนหรือญาติพี่น้องจากต่างจังหวัดไปเที่ยว
แม้จะไปบ่อยก็จริง แต่ก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อเลย และยังอยากจะไปอีกเรื่อยๆ เพราะรู้สึกประทับใจในบรรยากาศและธรรมชาติอันแสนจะงดงามของที่นั่น
(๒)
ทุกๆ ครั้งที่ผมไปเที่ยวชมที่ศูนย์ห้วยฮ่องไคร้แห่งนี้ นอกเหนือจากผมจะมีความสุขและได้รับความประทับใจหลายๆ อย่างกลับมาแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ผมได้ศึกษาเรียนรู้ ก็คือความเข้าใจในธรรมชาติ และความรู้สึกซาบซึ้งในคุณค่าและความสำคัญของมัน ซึ่งทำให้ผมยิ่งเกิดความรัก ความหวงแหนในธรรมชาติสิ่งแวดล้อมมากขึ้นว่าเดิม
|
อันว่า....ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากต่อทุกชีวิต และชีวิตกับธรรมชาติต่างก็มีความเกี่ยวเนื่อง เชื่อมโยง และผูกพันกันอยู่ตลอดเวลา ในฐานะที่ธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมต่างๆ เป็นปัจจัยที่จะเกื้อกูลให้ชีวิตเกิดความสมดุลขึ้น
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ต้นไม้ สายน้ำ ดิน ฟ้า อากาศ และสัตว์ป่า ล้วนมีคุณูปการะต่อชีวิตของมนุษย์ ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับร่างกายและจิตใจ ถ้าหากว่าธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ถูกทำลายลงไป ก็จะพลอยทำความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นกับชีวิตของมนุษย์เองด้วยเช่นกัน
ในความเป็นจริง มนุษย์กับธรรมชาติเป็นความสัมพันธ์ที่มิอาจจะแบ่งแยกออกจากกันได้ เพราะมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และธรรมชาติเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของมนุษย์ การสร้างทัศนคติที่ไม่ดีให้เกิดขึ้นกับธรรมชาติ การมองไม่เห็นคุณค่าของธรรมชาติ หรือการมองธรรมชาติเป็นแค่เพียงเหยื่ออันโอชะที่ตนเองจะพึงกอบโกยเอาผลประโยชน์จากมันเพียงอย่างเดียวแบบหน้ามืดตามัว โดยที่ไม่คำนึงถึงผลร้ายที่จะตามมาในอนาคต จึงเป็นการเข้าใจที่ผิดพลาดอย่างรุนแรง
ปัจจุบันนี้มีปัญหามากมายที่เกิดขึ้นจากการที่มนุษย์ได้กระทำต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำเน่าเสีย ปัญหามลภาวะอากาศเป็นพิษ ปัญหาอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น ปัญหาน้ำท่วม ปัญหาฝนกรด ปัญหาฝนแล้งหรือตกไม่ถูกต้องตามฤดูกาล และปัญหาปฏิกิริยาเรือนกระจก เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเกิดมาจากน้ำมือของมนุษย์เอง ที่พากันประทุษร้ายและทำลายธรรมชาติในรูปแบบต่างๆ โดยขาดการพิจารณาไตร่ตรองและขาดการยั้งคิด จนนำมาซึ่งความเดือดร้อนอย่างที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
ตราบใดที่มนุษย์ยังมองไม่เห็นถึงความสำคัญของธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมที่มีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงและสัมพันธ์กับสรรพชีวิต ยังมองทุกอย่างโดยความแปลกแยก แบ่งซอยแยกส่วน และมองเห็นว่าเป็นเพียงทรัพยากรที่จะตนเองจะพึงครอบครองกอบโกยเพื่อเอาผลประโยชน์ ตราบนั้นมนุษย์ก็คงจะต้องพบกับความเจ็บปวดและก้มหน้ารับผลกรรมที่ตนเองได้ร่วมกันกระทำขึ้นโดยไม่มีวันสิ้นสุด อย่างไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ดีจะเป็นเสมือนยาขนานเอกที่จะชุบสรรพชีวิตให้มีชีวิตชีวาและมีความสุข เบิกบาน ร่มเย็นอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งจะเอื้ออำนวยประโยชน์และความสุขให้กับสรรพชีวิตอย่างมหาศาล ถ้าหากว่าทุกๆ คนหันหน้ามาทำการศึกษาและทำความเข้าใจถึงคุณค่าและความสำคัญของมันอย่างจริงจัง และร่วมแรงร่วมใจกันคุ้มครองป้องกันรักษาเอาไว้ โดยไม่ให้มีการทำลายลงไปอย่างที่กำลังเป็นอยู่
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่มีคุณูปการะอันยิ่งใหญ่ต่อสรรพชีวิต มนุษย์จึงควรที่จะสำเหนียกรู้อยู่เสมอว่า ธรรมชาติคือชีวิต ชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และการเบียดเบียนหรือทำลายธรรมชาติสิ่งแวดล้อมทั้งหลายให้หมดสิ้นไป ก็คือการเบียดเบียนหรือทำลายชีวิตของมนุษย์นั่นเอง
สองพี่น้องกอดกันกลม
เด็กๆ กำลังดูแผนที่ของศูนย์ฯ
บ่อเลี้ยงเต่า
กำลังดูหมู่ป่า
ให้อาหารปลา
หน้าค่ายลูกเสือ
ปลาทับทิม
ต้นสักทอง
แหล่งที่มาhttps://www.gotoknow.org/posts/473456
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น