วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ชมดอกทานตะวันบานสะพรั่ง ณ ทุ่งทานตะวัน

ชมดอกทานตะวันบานสะพรั่ง ณ ทุ่งทานตะวัน

       




  สายลมพัดอ่อน ๆ แสงแดดเจิดจ้า สะท้อนความสดใสของ  "ดอกทานตะวัน"  ที่บานสะพรั่งไปทั่วทั้งท้องทุ่ง ... แค่เอ่ยแบบนี้คงทำให้ใครหลาย ๆ คน คิดอยากจะไปท่องเที่ยว สัมผัสความสวยงามของ "ทุ่งทานตะวัน" อันเลื่องชื่อของจังหวัดลพบุรีและจังหวัดสระบุรีกันแล้วแน่ ๆ วันนี้กระปุกดอทคอมขออาสาเป็นไกด์ พาไปทัวร์ พร้อม ๆ กับนำเรื่องราวเกี่ยวกับกิจกรรมการท่องเที่ยว "ทุ่งทานตะวัน" มาบอกเล่าเก้าสิบกันค่ะ...

          ในจังหวัดลพบุรี, จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดสระบุรี มีการทำไร่ทานตะวันกันมากในช่วงฤดูหนาวราวเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ริมฝั่งถนนจะสะพรั่งไปด้วยสีเหลืองทองอร่าม งดงามกว้างไกลสุดสายตาของดอกทานตะวัน บานชูช่อเป็นที่สะดุดตาแก่ผู้ผ่านมาบริเวณนี้เป็นอย่างมาก 








 จังหวัดลพบุรี  

          สำหรับจังหวัดลพบุรีมีการปลูกทานตะวันมากที่สุดในประเทศไทย คือ ประมาณ 200,000-300,000 ไร่ ดอกทานตะวันจะบานสะพรั่งในช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคม โดยแหล่งที่ปลูกทานตะวัน จะกระจายอยู่ทั่วไปในเขตอำเภอเมือง อำเภอพัฒนานิคม อำเภอชัยบาดาล พื้นที่ที่ปลูกเป็นจำนวนมาก 

          จังหวัดลพบุรี ขอเชิญร่วมสัมผัสความสวยงามของท้องทุ่งทานตะวันใน "เทศกาลทุ่งทานตะวันบานลพบุรี" ประจำปี 2558 ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2558 ถึง 31 มกราคม 2559 ณ อำเภอเมือง, อำเภอหนองม่วง, อำเภอพัฒนานิคม, อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี

          ภายในงานนักท่องเที่ยวสามารถเข้าร่วมกิจกรรมที่น่าสนใจได้หลากหลายอย่าง อาทิ กิจกรรมถ่ายภาพ, ชมวิว, นั่งรถราง หรือขี่จักรยานชมทุ่งทานตะวัน ทามกลางบรรยากาศหุบเขาทานตะวัน รวมทั้งยังมีการจัดบูธจำหน่ายสินค้า OTOP และร่วมกิจกรรมทางทหาร อาทิ การยิงปืน พายเรือยาง และศึกษาการดำรงชีพในป่าอีกด้วย ทั้งนี้สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลและขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  TAT Call Center 1672  หรือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานลพบุรี โทรศัพท์ 0 3642 2768-9
          
          นอกจากนี้ระหว่างทางก็มีชาวบ้านปลูกทานตะวันในพื้นที่บริเวณใกล้ ๆ บ้านของตัวเองอย่างหนาแน่นเรียกได้ว่าจอดรถของแชะภาพได้กันตั้งแต่ริมถนนก็กันเลยค่ะ


 จังหวัดสระบุรี

          จังหวัดสระบุรี ขอเชิญเที่ยวงาน "เทศกาลทุ่งทานตะวันบานสระบุรี" ปี 2558 ในระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2558 ถึง 31 มกราคม 2559 ณ อำเภอมวกเหล็ก, อำเภอวังม่วง, อำเภอแก่งคอย, อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ภายในงานนักท่องเที่ยวสามารถถ่ายภาพ, ชมวิวกับบรรยากาศ เนินเขาสูงต่ำ และท้องทุ่งสีเหลืองของดอกทานตะวันบานที่มองดูสุดตา ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวทุ่งดอกทานตะวันได้อย่างเต็มอิ่ม

          ทั้งนี้สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลและขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก สำนักงานการเกษตรจังหวัดสระบุรี โทรศัพท์ 0 3631 9025- 6 หรือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานลพบุรี โทรศัพท์ 0 3642 2768-9 รวมทั้งสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของงานผ่านทาง เว็บไซต์ saraburi.doae.go.th     
          

          อย่าลืมนะคะ ถ้ามีเวลาว่าง...ก็ลองไปสัมผัสความสวยงามของ "ทุ่งดอกทานตะวัน" ตามสโลแกน "เที่ยวไทยคึกครื้น เศรษฐกิจไทยคึกคัก"


แหล่งที่มาhttp://travel.kapook.com/view6672.html

อุทยานแห่งชาติภูกระดึง

ภูกระดึงเกิดจาก "ภู" + "กระดึง"  ภู มาจาก ภูเขา และกระดึง มาจากคำว่า กระดิ่ง ในภาษาพื้นเมืองของจังหวัดเลย  ด้วยเหตุนี้ ภูกระดึง จึงอาจแปลได้ว่า ระฆังใหญ่
ชื่อกระดึงนี้มาจากเรื่องเล่าที่ว่าในวันพระ ชาวบ้านมักได้ยินเสียงกระดิ่งหรือระฆังจากภูเขาลูกนี้เสมอ จึงเล่าต่อกันไปว่าเป็นระฆังของพระอินทร์ นอกจากนี้เมื่อขึ้นไปบนยอดเขาบางส่วนหากเดินหนักๆ หรือใช้ไม้กระทุ้งก็จะมีเสียงก้องคล้ายระฆัง ซึ่งเกิดจากโพรงข้างใต้ จึงได้รับการตั้งชื่อว่า "ภูกระดึง"
ภูกระดึงได้รับการจัดตั้งเป็นป่าสงวนแห่งชาติในปี พ.ศ. 2486 และเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2502 โดยเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่สองถัดจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
อุทยานแห่งชาติภูกระดึง เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศไทย เนื่องจากมีธรรมชาติที่สวยงาม ตั้งอยู่ที่ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย ครอบคลุมพื้นที่ 348.12 ตร.กม. (217,575 ไร่) ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาหินทรายยอดตัด โดยที่ราบบนยอดตัดของภูกระดึงมีพื้นที่ประมาณ 60 ตร.กม. (37,500 ไร่) มีลักษณะคล้ายรูใบบอนหรือรูปหัวใจเมื่อมองจากด้านบน มีความสูงอยู่ระหว่าง 400-1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเล และมีสภาพอากาศค่อนข้างเย็นตลอดปี
ภูมิประเทศ
สภาพทั่วไปของอุทยานแห่งชาติภูกระดึง เป็นภูเขาหินทรายยอดตัดอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของที่ราบสูงโคราช ใกล้กับด้านลาดทิศตะวันออกของเทือกเขาเพชรบูรณ์ ลักษณะโครงสร้างทางธรณีของภูกระดึงเกิดขึ้นในมหายุค Mesozoic เป็นหินในชุดโคราช ประกอบด้วยชั้นหินหมวดหินภูพาน หมวดหินเสาขัว หมวดหินพระวิหาร และหมวดหินภูกระดึง
พื้นที่ส่วนใหญ่ของภูเขาอยู่ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางระหว่าง 400-1,200 เมตร มีพื้นที่ราบบนยอดเขากว้างใหญ่คล้ายรูใบบอน ประกอบด้วยเนินเตี้ยๆ ยอดสูงสุดคือ ภูกุ่มข้าว สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,350 เมตร
สภาพพื้นที่ราบบนยอดภูกระดึงมีส่วนสูงอยู่ทางด้านตะวันตกและตะวันออกเฉียงใต้ พื้นที่ค่อยๆ ลาดเทลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทำให้ลำธารสายต่างๆ ที่เกิดจากแหล่งน้ำบนภูเขาไหลไปรวมกันทางด้านนี้ เป็นแหล่งต้นน้ำของลำน้ำพอง ซึ่งหล่อเลี้ยงเขื่อนอุบลรัตน์และเขื่อนหนองหวาย ในจังหวัดขอนแก่น
ลักษณะภูมิอากาศ
ภูมิอากาศของอุทยานแห่งชาติภูกระดึงบริเวณที่ระดับต่ำตามเชิงเขา มีสภาพโดยทั่วไปใกล้เคียงกับบริเวณอื่นๆ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนตุลาคม ฝนตกชุกที่สุดระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน อุณหภูมิเฉลี่ยรายปี 26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุดในเดือนมกราคม และอุณหภูมิสูงสุดในเดือนเมษายน
สภาพอากาศทั่วไปบนยอดภูกระดึง แตกต่างจากสภาพอากาศในที่ราบต่ำเป็นอย่างมาก โดยปริมาณน้ำฝนจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ของปริมาณน้ำฝนบนที่ต่ำ เนื่องจากอิทธิพลของเมฆ/หมอกที่ปกคลุมยอดภูกระดึงเป็นเนืองนิจ ในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ยระหว่าง 0-10 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยระหว่าง 21-24 องศาเซลเซียส ส่วนในฤดูร้อนระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ยระหว่าง 12-19 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยระหว่าง 23-30 องศาเซลเซียส อากาศบนยอดภูกระดึงมักจะแปรปรวน มีเมฆหมอก ลอยต่ำปกคลุมบ่อยครั้ง อากาศจึงค่อนข้างเย็นตลอดปี ในช่วงฤดูฝน มักเกิดภัยธรรมชาติ เช่น เกิดการพังทะลายของภูเขาและมีน้ำป่า ทางอุทยานแห่งชาติจึงกำหนดให้ปิดการท่องเที่ยวเฉพาะบนยอดเขาภูกระดึง เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และให้สภาพธรรมชาติและสภาพแวดล้อมได้มีการพักฟื้นตัว หลังจากนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมอย่างมากในแต่ละปี
พืชพรรณ
สังคมพืชของภูกระดึงเป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดป่าหนึ่ง มีทั้งป่าผลัดใบ และป่าดงดิบ ที่ระดับความสูงต่างๆ จำแนกออกได้เป็น
  • ป่าเต็งรัง พบบนที่ราบเชิงเขาและบนที่ลาดชันจนถึงระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ 600 เมตร
  • ป่าเบญจพรรณ พบตั้งแต่บนพื้นที่ราบเชิงเขาและที่ลาดชันตามไหล่เขารอบภูกระดึง จนถึงระดับความสูงจากน้ำทะเลประมาณ 950 เมตร
  • ป่าดิบแล้ง พบตามฝั่งลำธารของหุบเขาที่ชุ่มชื้นทางทิศตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือ และทิศตะวันตก ตั้งแต่เชิงเขาจนถึงระดับความสูงประมาณ 950 เมตร จากระดับน้ำทะเล
  • ป่าดิบเขา พบตั้งแต่ระดับ 1,000 เมตร จากระดับน้ำทะเลขึ้นไป ทางทิศเหนือและทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
  • ป่าสนเขา พบเฉพาะบนที่ราบยอดภูกระดึงที่ระดับความสูงประมาณ 1,200-1,350 เมตร จากระดับน้ำทะเล
พรรณไม้ที่มีชื่อเสียง ได้แก่
  • ก่วมแดง พืชสกุลเมเปิลที่พบบริเวณน้ำตก บนภูกระดึงต้นจะแดงสดในฤดูหนาวประมาณเดือนธันวาคม
  • หม้อข้าวหม้อแกงลิง พบได้เป็นดงในบริเวณใกล้ผานาน้อยจนถึงผาแดง
  • ดอกกระเจียว ทุ่งดอกกระเจียวพบได้ในบริเวณใกล้ผาเหยียบเมฆจนถึงผาแดง โดยปกติดอกกระเจียวจะออกดอกในช่วงเดือนเมษายน แต่ในเดือนพฤษภาคมก็จะยังพบดอกกระเจียวบานอยู่ แม้ว่าอาจจะถูกแมลงและสัตว์ต่างๆ กัดกินดอกและใบของมันไปบ้างก็ตาม
สัตว์ท้องถิ่น
ภูกระดึง ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งที่มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่อย่างชุกชุม เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศประกอบไปด้วยป่าไม้ ทุ่งหญ้าและลำธาร ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ สัตว์ป่าภูกระดึงมีหลายชนิดที่พบเห็นทั่วไป ได้แก่ ช้างป่า เก้ง กวางป่า หมูป่า ลิงกัง ลิงลม บ่าง กระรอกหลากสี กระแต หนูหริ่งนาหางยาว ตุ่น เม่นหางพวง พังพอน อีเห็น เหยี่ยวรุ้ง นกเขาเปล้า นกเขาใหญ่ นกกระปูดใหญ่ นกเค้ากู่ นกตะขาบทุ่ง นกโพระดกคอสีฟ้า นกตีทอง นกหัวขวานสามนิ้วหลังทอง นกนางแอ่นสะโพกแดง นกเด้าดินสวน นกอุ้มบาตร์ นกขี้เถ้าใหญ่ นกกระทาทุ่ง นกพญาไฟใหญ่ นกกางเขนดง นกจาบดินอกลาย นกขมิ้นดง ตุ๊กแก จิ้งจกหางแบนเล็ก กิ้งก่าสวน จิ้งเหลนบ้าน เต่าเหลือง งูทางมะพร้าว งูลายสอบ้าน งูจงอาง งูเก่า งูเขียวหางไหม้ อึ่งอี๊ดหลังลาย เขียดหนอง คางคก กบหูใหญ่ ปาดแคระ และมีเต่าชนิดหนึ่งซึ่งหาได้ยาก คือ เต่าปูลู หรือ “เต่าหาง” เป็นเต่าที่หางยาว อาศัยอยู่ตามลำธารในป่าเขาระดับสูงของประเทศไทย กัมพูชา และ ลาว


  1. เส้นทางขึ้นที่อำเภอภูกระดึง เป็นเส้นทางเก่าแก่และได้รับความนิยมมากที่สุด นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมความงามบนยอดภูกระดึง ได้ที่อำเภอภูกระดึง ณ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ซึ่งอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นได้ตั้งแต่เวลา 7.00 - 14.00 น. ของทุกวัน และหลังจากเวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ทางอุทยานแห่งชาติจะไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินทางขึ้นไป เนื่องจากจะตรงกับเวลาพลบค่ำในระหว่างทางเกิดความยากลำบากในการเดินทาง อีกทั้งอาจได้รับอันตรายจากสัตว์ป่าที่ออกหากินในเวลากลางคืน
    • เส้นทางจากที่ทำการอุทยานถึงหลังแป (5.5 กม.)การเดินขึ้นภูกระดึงไม่ลำบากมากนัก แต่ระยะทางจะไกลและชัน เส้นทางจากที่ทำการอุทยานถึงหลังแป มีระยะทางประมาณ 5.5 กม.หากเดินขึ้นภูตั้งแต่เช้า อากาศจะค่อนข้างเย็นสบาย มีสิ่งที่น่าสนใจให้ชมไปตลอดทาง โดยเฉพาะสภาพทางธรณีและสภาพป่าที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นระยะๆ จากป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา จนถึงหลังแปจากที่ทำการอุทยานถึงหลังแป จะแบ่งเป็นหลายช่วง แต่ละช่วงเรียกว่า ซำ ซึ่งหมายถึงบริเวณที่มีน้ำขัง มักเป็นแหล่งที่มีสัตว์ป่ามาพักกินน้ำ นักท่องเที่ยวต้องเดินทางผ่าน ปางกกค่า ซำแฮก ซำบอน ซำกกกอก พร่านพรานแป ซำกกหว้า ซำกกโดน และซำแคร่ ตามลำดับ ระหว่างทางจะมีจุดให้แวะพักเหนื่อยต่างๆ ซึ่งจะมีร้านค้าบริการอาหาร เครื่องดื่ม และห้องน้ำโดยหลังจากซำแคร่ซึ่งเป็นซำสุดท้าย นักท่องเที่ยวต้องเดินขึ้นไปอีกประมาณ 1 กม. เพื่อเข้าสู่ยอดเขาในส่วนที่เรียกกันว่าหลังแป ระยะทางและความสูงจากระดับน้ำทะลแต่ละช่วงตามรูป
    • เส้นทางจากหลังแปถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง (3.6 กม.)หลังจากขึ้นถึงหลังแป จะเป็นทางราบท่ามกลางทุ่งหญ้าป่าสนเขาอันกว้างใหญ่ นักท่องเที่ยวต้องเดินทางราบอีกประมาณ 3.6 กม. เพื่อไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางบนยอดเขา เพื่อตั้งเต็นท์ หรือที่พักอาศัยอื่นๆ ณ จุดยอดเขานี้นักท่องเที่ยวจะสังเกตเห็นป่าสนมากมายเรียงรายกันตลอดทางผังลานกางเต็นท์ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง 
  2. เส้นทางขึ้นที่อำเภอน้ำหนาว
    นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางขึ้นไปยังยอดเขาภูกระดึงได้ที่บ้านฟองใต้ อำเภอน้ำหนาว ซึ่งเป็นเส้นทางขึ้นเขาเส้นทางใหม่ โดยจะขึ้นไปที่ผาหล่มสักโดยตรง มีระยะมีระยะทาง 5.2 กม. จากหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ลย.5 (หนองผักบุ้ง) ถึงผาหล่มสัก
เส้นทางท่องเที่ยวบนยอดเขาภูกระดึง
แบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือบริเวณท่องเที่ยวปกติ และบริเวณป่าปิด
  1. บริเวณแหล่งท่องเที่ยวปกติ แบ่งเป็นเส้นทางน้ำตก และเส้นทางเลียบผา
    1.1 เส้นทางน้ำตก การเดินทางจะผ่านแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญได้แก่ น้ำตกวังกวาง น้ำตกเพ็ญพบใหม่ น้ำตกโผนพบ น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกถ้ำใหญ่ สระแก้ว น้ำตกถ้ำสอใต้ สระอโนดาด น้ำตกธารสวรรค์ และพระพุทธเมตตา1.2 เส้นทางเลียบผา การเดินทางจะผ่านแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญได้แก่ พระแก้ว ผานกแอ่น ผาหมากดูก ผาจำศีล ผานาน้อย ผาเหยียบเมฆ ผาแดง และผาหล่มสัก จุดดูพระอาทิตย์ขึ้นสามารถดูได้ที่ผานกแอ่นเพียงที่เดียวมีระยะทางห่างที่พักเพียง 2 กม. สำหรับจุดดูพระอาทิตย์ตกสามารถชมได้ที่ผาหมากดูก ซึ่งใกล้ที่สุดห่างจากที่พักเพียง 2 กม. และผาหล่มสักซึ่งเป็นจุดที่นิยมมากที่สุด
  2. ส่วนบริเวณป่าปิด แบ่งได้เป็นเส้นทางน้ำตกขุนพอง และเส้นทางผาส่องโลก
    2.1 เส้นทางน้ำตกขุนพอง จะผ่านแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ได้แก่ น้ำตกขุนพอง2.2 เส้นทางผาส่องโลก จะผ่านแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญได้แก่ น้ำตกผาฟ้าผ่า โหล่มฟ้าโลมดิน ผาส่องโลก โหล่นเจดีย์ โหล่นถ้ำพระ และ แง่งทิดหา
แหล่งที่มาhttp://www.teeteawthai.com/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B6%E0%B8%87

ธรรมชาติกับชีวิต

ธรรมชาติกับชีวิต



ทัศนียภาพอันสวยงามภายในศูนย์พัฒนาห้วยฮ่องไคร้

(๑)
     เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2555 ที่ผ่านมา  น้องแพรวพราว(ลูกสาวคนเล็ก)ได้รบเร้าให้ผมพาเธอไปเที่ยวชมสวนสัตว์เชียงใหม่ เพราะเธออยากจะไปดูสัตว์หลายอย่างที่เธอชื่นชอบ แต่เนื่องจากเคยพาไปหลายครั้งแล้วและช่วงนี้มีนักท่องเที่ยวไปชมกันจำนวนมาก ทำให้การไปมาค่อนข้างจะลำบาก ผมก็เลยพาเธอไปชมสวนสัตว์ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ แทน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านแม่ตาดมากนัก
            เมื่อไปถึง ผมพาเธอและเด็กคนอื่นๆ เดินเที่ยวชมสัตว์ต่างๆ ภายในศูนย์ห้วยฮ่องไคร้ ซึ่งมีอยู่หลายอย่างด้วยกัน เช่น ลิง หมูป่า กวางป่า เก้ง นกยูง ไก่ป่า และนกนานาชนิด รวมทั้งพาเที่ยวชมส่วนอื่นๆ อีกหลายอย่าง ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขและสนุกสนานของเด็กๆ ทุกคน
             ที่จริง ผมเคยไปที่ศูนย์ห้วยฮ่องไคร้แห่งนี้แล้วหลายสิบครั้ง บางครั้งก็ไปอบรมสัมมนา บางช่วงก็ไปขอกล้าไม้มาปลูกในหมู่บ้าน บางเวลาก็พาเพื่อนๆ ไปนั่งตกปลาผ่อนคลายอารมณ์ และบางครั้งก็พาเพื่อนหรือญาติพี่น้องจากต่างจังหวัดไปเที่ยว
            แม้จะไปบ่อยก็จริง แต่ก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อเลย และยังอยากจะไปอีกเรื่อยๆ เพราะรู้สึกประทับใจในบรรยากาศและธรรมชาติอันแสนจะงดงามของที่นั่น 


                                                               (๒)
          ทุกๆ ครั้งที่ผมไปเที่ยวชมที่ศูนย์ห้วยฮ่องไคร้แห่งนี้ นอกเหนือจากผมจะมีความสุขและได้รับความประทับใจหลายๆ อย่างกลับมาแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ผมได้ศึกษาเรียนรู้ ก็คือความเข้าใจในธรรมชาติ และความรู้สึกซาบซึ้งในคุณค่าและความสำคัญของมัน  ซึ่งทำให้ผมยิ่งเกิดความรัก ความหวงแหนในธรรมชาติสิ่งแวดล้อมมากขึ้นว่าเดิม
            อันว่า....ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากต่อทุกชีวิต  และชีวิตกับธรรมชาติต่างก็มีความเกี่ยวเนื่อง เชื่อมโยง และผูกพันกันอยู่ตลอดเวลา ในฐานะที่ธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมต่างๆ เป็นปัจจัยที่จะเกื้อกูลให้ชีวิตเกิดความสมดุลขึ้น
            ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ต้นไม้ สายน้ำ ดิน ฟ้า อากาศ และสัตว์ป่า ล้วนมีคุณูปการะต่อชีวิตของมนุษย์ ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับร่างกายและจิตใจ  ถ้าหากว่าธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ถูกทำลายลงไป ก็จะพลอยทำความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นกับชีวิตของมนุษย์เองด้วยเช่นกัน
            ในความเป็นจริง มนุษย์กับธรรมชาติเป็นความสัมพันธ์ที่มิอาจจะแบ่งแยกออกจากกันได้ เพราะมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และธรรมชาติเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของมนุษย์      การสร้างทัศนคติที่ไม่ดีให้เกิดขึ้นกับธรรมชาติ การมองไม่เห็นคุณค่าของธรรมชาติ หรือการมองธรรมชาติเป็นแค่เพียงเหยื่ออันโอชะที่ตนเองจะพึงกอบโกยเอาผลประโยชน์จากมันเพียงอย่างเดียวแบบหน้ามืดตามัว โดยที่ไม่คำนึงถึงผลร้ายที่จะตามมาในอนาคต  จึงเป็นการเข้าใจที่ผิดพลาดอย่างรุนแรง
            ปัจจุบันนี้มีปัญหามากมายที่เกิดขึ้นจากการที่มนุษย์ได้กระทำต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำเน่าเสีย ปัญหามลภาวะอากาศเป็นพิษ ปัญหาอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น ปัญหาน้ำท่วม  ปัญหาฝนกรด ปัญหาฝนแล้งหรือตกไม่ถูกต้องตามฤดูกาล  และปัญหาปฏิกิริยาเรือนกระจก เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเกิดมาจากน้ำมือของมนุษย์เอง ที่พากันประทุษร้ายและทำลายธรรมชาติในรูปแบบต่างๆ โดยขาดการพิจารณาไตร่ตรองและขาดการยั้งคิด จนนำมาซึ่งความเดือดร้อนอย่างที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
            ตราบใดที่มนุษย์ยังมองไม่เห็นถึงความสำคัญของธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมที่มีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงและสัมพันธ์กับสรรพชีวิต  ยังมองทุกอย่างโดยความแปลกแยก แบ่งซอยแยกส่วน และมองเห็นว่าเป็นเพียงทรัพยากรที่จะตนเองจะพึงครอบครองกอบโกยเพื่อเอาผลประโยชน์  ตราบนั้นมนุษย์ก็คงจะต้องพบกับความเจ็บปวดและก้มหน้ารับผลกรรมที่ตนเองได้ร่วมกันกระทำขึ้นโดยไม่มีวันสิ้นสุด อย่างไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้
           ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ดีจะเป็นเสมือนยาขนานเอกที่จะชุบสรรพชีวิตให้มีชีวิตชีวาและมีความสุข เบิกบาน ร่มเย็นอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งจะเอื้ออำนวยประโยชน์และความสุขให้กับสรรพชีวิตอย่างมหาศาล ถ้าหากว่าทุกๆ คนหันหน้ามาทำการศึกษาและทำความเข้าใจถึงคุณค่าและความสำคัญของมันอย่างจริงจัง และร่วมแรงร่วมใจกันคุ้มครองป้องกันรักษาเอาไว้ โดยไม่ให้มีการทำลายลงไปอย่างที่กำลังเป็นอยู่
           ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่มีคุณูปการะอันยิ่งใหญ่ต่อสรรพชีวิต มนุษย์จึงควรที่จะสำเหนียกรู้อยู่เสมอว่า ธรรมชาติคือชีวิต ชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และการเบียดเบียนหรือทำลายธรรมชาติสิ่งแวดล้อมทั้งหลายให้หมดสิ้นไป ก็คือการเบียดเบียนหรือทำลายชีวิตของมนุษย์นั่นเอง




 สองพี่น้องกอดกันกลม

เด็กๆ กำลังดูแผนที่ของศูนย์ฯ

บ่อเลี้ยงเต่า

กำลังดูหมู่ป่า

ให้อาหารปลา

หน้าค่ายลูกเสือ

ปลาทับทิม

ต้นสักทอง








แหล่งที่มาhttps://www.gotoknow.org/posts/473456



ความสุขจากการสัมผัสธรรมชาติ

ธรรมชาติไม่ใช่เพียงต้นไม้ ใบหญ้า ท้องทุ่ง และลำน้ำ แต่หมายรวมถึงธรรมชาติในใจเราด้วย ใจที่มีความรักจะเห็นคุณค่าธรรมชาติภายนอกและมีความสุขอยู่กับสิ่งนั้น เมื่อความรักในธรรมชาติกับความสุขเป็นสิ่งเดียวกัน จะเชื่อมโยงความปรารถนาดีไปยังผู้อื่น

เช่นที่นักวิชาการเกษตรผู้คลุกคลีอยู่กับดอกไม้และเป็นผู้บุกเบิกวงการกล้วยไม้ไทยสู่สากล ศ.ระพี สาคริก ได้ปฏิบัติมาเกือบทั้งชีวิต ท่านเข้าหาธรรมชาติของดอกไม้ด้วยแรงผลักดันที่จะเอาชนะอุปสรรคและความรักต่อเพื่อนมนุษย์ ท่านสนใจกล้วยไม้และเริ่มต้นปลูกเองด้วยอายุเพียง 6-7 ขวบ ด้วยความรู้สึกที่ต้องการต่อสู้กับคนกลุ่มหนึ่งในสังคม ซึ่งนำเอากล้วยไม้มาปฏิบัติบนพื้นฐานความไม่เท่าเทียม ท่านเริ่มต้นบรรจงเพาะกล้วยไม้เมล็ดแรกด้วยความรู้สึกรักและทะนุถนอม ซึ่งสิ่งนี้เกิดจากวิญญาณซึ่งหยั่งรากลงอย่างลึกซึ้ง
“ความสวยงามเป็นที่ต้องการของสิ่งมีชีวิตในโลกใบนี้ แต่ในขณะเดียวกัน การจะเดินไปหาสิ่งที่งดงาม เราก็ต้องเดินบุกป่าฝ่าดงไปก่อน ถ้าเราไม่เจอะสิ่งที่ไม่พอใจ แล้วเราจะไปเจอสิ่งที่พอใจได้อย่างไร …ผมสนใจกล้วยไม้ เพราะมองเห็นว่า มันมีหนามเต็มไปหมดเลย ผมชอบเดินฝ่าดงหนาม ทุกเรื่อง มีปัญหาทั้งนั้นเลย กล้าที่จะเดินเข้าไปหามัน และเอาชนะใจตัวเองให้ได้หมดทุกเรื่อง”
เรื่องกล้วยไม้ของ อ.ระพี มีนัยยะที่ลึกซึ้ง คือการเชื่อมโยงกับความรักในเพื่อนมนุษย์และการเติบโตอย่างกลมกลืน “แม้ผมทำเรื่องกล้วยไม้ แต่จริงๆ แล้วผมไม่ได้ทำเรื่องกล้วยไม้ ผมทำเรื่องมนุษย์ …ความสุขของผมคือการได้ทำงานเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมโดยใช้กล้วยไม้ ผมมาจับงานการศึกษาทางเลือก เพราะคนไทยส่วนใหญ่มองเห็นแต่เปลือก เนื้อในที่แท้จริงนั้นคือความซื่อสัตย์สุจริตที่มันอยู่ในใจมนุษย์”
 เมื่อมนุษย์มีจิตใจ จึงเห็นดอกไม้สวย มันเป็นอาหารใจ
อ.ระพี ยังพบความสมดุลของธรรมชาติที่ก่อเกิดในจิตวิญญาณมนุษย์ จนเห็นความงามและนำมาซึ่งความสุข “ผมพบว่า โลกมันแตกจากดวงอาทิตย์ พอเย็นลงถึงจุดหนึ่ง ก็เกิดชีวิต มันจะต้องให้มาคู่กัน มนุษย์มีวิญญาณ ตีความได้ว่า มนุษย์มีจิตใจ เมื่อมนุษย์มีจิตใจ จึงเห็นดอกไม้สวย มันเป็นอาหารใจ”
ธรรมชาติทำให้ชีวิตเบาและสบายขึ้น
ในอีกด้านหนึ่งการได้อยู่กับกับธรรมชาติทำให้เกิดความเงียบสงบ และเห็นความเป็นจริงว่า ธรรมชาติเป็นอย่างนี้ มีสายลม แสงแดด มีนกร้อง มีความงดงาม เมื่อเห็นอย่างที่ธรรมชาติเป็น จะเกิดความเงียบสงบขึ้นภายใน ไม่ฝืน ไม่หนี ไม่ผลักดัน ไม่วิ่งหา เพราะรู้ว่ามันเป็นอย่างนี้เอง

ผู้เป็นดั่งต้นแบบของการใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ คุณโจน จันใด พบความรู้สึกนี้ด้วยตัวเอง หลังจากตัดสินใจกลับไปหาวิถีการมีชีวิตที่ยั่งยืนในต่างจังหวัดเป็นเวลาเกือบยี่สิบปี ชีวิตประจำวันของเขาอยู่กับธรรมชาติอย่างแท้จริง เขาสร้างบ้านดินอยู่เอง ทำสวน ไร่ นา เพื่อปลูกอาหารกินเอง ผลิตข้าวของเครื่องใช้ประจำวัน รวมทั้งดูแลสุขภาพด้วยธรรมชาติที่มีในพื้นที่ “เราใช้ดินรักษาโรค ใช้น้ำรักษาโรค ใช้ไฟรักษาโรค ซึ่งทุกอย่างเป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มาทั้งหมด ทำให้เรารู้สึกว่า ชีวิตมันง่ายขึ้น เบาขึ้น สบายขึ้น”
ความสุขจากธรรมชาติมีความยั่งยืน
“สำหรับผมความสุขเกิดขึ้นตอนที่เราพึ่งตนเองได้ ทำให้เราเกิดอิสรภาพ และอิสรภาพคือสิ่งที่ทำให้เราเพลิดเพลินกับชีวิตได้ เราพึ่งตนเองได้อย่างน้อยๆ ปัจจัย 4 คือ อาหาร บ้าน ผ้า และยา เราจะมีความกลัวน้อยลง เราจะรู้สึกว่า ชีวิตเป็นอิสระมาก และมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงขึ้น ตรงนี้ที่ผมรู้สึกว่า มันเป็นความสงบสุขภายในที่ทำให้ชีวิตมันมีค่า มีความหมาย และมีความเพลิดเพลินมาก อิสรภาพและความสุขเป็นสิ่งเดียวกัน”
ความสุขที่ได้รับจากธรรมชาติมีความยั่งยืน คุณโจนยกตัวอย่างว่า “ถ้าเราอยากได้รถคันหนึ่ง เราซื้อมันมาได้ เราจะตื่นเต้นยินดีกับมันมากในวันสองวันแรก แต่พอเราใช้ไปสักพักหนึ่ง ความพอใจจะลดลงๆ อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเราได้อยู่กับธรรมชาติที่เย็นสบาย งดงาม สงบเยือกเย็น เราจะรู้สึกถึงความยั่งยืน นิ่ง ไม่เสื่อมลง และไม่แปรเปลี่ยนง่าย เพราะเป็นสิ่งที่อยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องและเป็นจริง โอกาสที่จะพลิกเปลี่ยนเป็นไปได้ยากมาก ชีวิตเรามั่นคงมากขึ้น แม้ว่าเราจะไม่มีเงิน แต่เรารู้สึกมั่นใจ และมั่นคงในวิถีของเรามากขึ้น”
ถ้าเราได้อยู่กับธรรมชาติที่เย็นสบาย งดงาม สงบเยือกเย็น เราจะรู้สึกถึงความยั่งยืน นิ่ง ไม่เสื่อมลง และไม่แปรเปลี่ยนง่าย
การอยู่กับธรรมชาติยังทำให้เห็นกระบวนการของชีวิตได้ชัดเจนขึ้น “เราเห็นว่า ผัก ข้าว ปลา มาจากไหน เพราะเราอยู่กับมัน เราปลูกมันมา แค่เราหว่านเมล็ดพันธุ์ลงไป รดน้ำ เราเห็นมันงอกขึ้นมา ใส่ปุ๋ยหมัก เราเห็นมันเติบโต แล้วเราก็เอามากิน เรารู้ตั้งแต่ต้นจนจบจนเป็นเลือดเป็นเนื้อของเรา แล้วก็ขับถ่ายออกไป เราเห็นขั้นตอนกระบวนการของมัน จึงมีความมั่นใจในวิถีชีวิตของเรามากว่า เราต่างพึ่งพาอาศัยสิ่งเหล่านี้ เราอยู่ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว การได้เห็นว่าร่างกายของเราไม่ได้มีแค่นี้ มีพืชผัก น้ำ แสงแดด ที่อยู่รอบๆ ตัวเราด้วย มันเป็นชีวิตจริงๆ ฉะนั้นการเห็นต้นไม้โบกไหว มันก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราเช่นกัน การดูแลร่างกายเราคือการดูแลสิ่งเหล่านี้ การเห็นชีวิตตรงนี้ทำให้เราเกิดความสงบ และผ่อนคลาย”
เริ่มต้นความสุขจากธรรมชาติรอบตัว
สำหรับผู้ปรารถนาจะเข้าหาของความสุขจากธรรมชาติ คุณโจนให้คำแนะนำเรื่องนี้ว่า
# ถามตัวเองว่า เราต้องการอะไรในชีวิตจริงๆ เราทำงานหนักทุกวันนี้เพื่ออะไร ถ้าพิจารณาเรื่องเหล่านี้ให้ลึกลงไป เราจะเริ่มเห็นคำตอบชัดเจนมากขึ้นว่า ถ้าเราต้องการอะไรที่นอกเหนือจากเงิน รถ บ้าน หน้าตา เราก็สามารถแสวงหาทางออกได้ เพราะชีวิตมีทางเลือกเยอะมาก
# คนในเมืองหรือคนอยู่ที่ไหนก็ตามสามารถสัมผัสธรรมชาติได้ โดยทำงานเท่าที่จำเป็น และไม่สะสมจนเกินไป เพื่อมีเวลาว่างมากขึ้นและสามารถที่จะมีพื้นที่ว่างในสมองให้กับธรรมชาติได้ ธรรมชาติไม่ใช่สิ่งที่เราต้องแสวงหา มันมีอยู่กับเราทุกที่ เพียงเปิดใจรับมันเท่านั้น ด้วยการให้เวลากับตัวเองที่จะอยู่กับธรรมชาติ เช่น นั่งดูกอหญ้ากอหนึ่งเราก็จะเห็นความงดงามของมัน ดอกหญ้าดอกเล็กๆ งอกงามขึ้นมา ลมพัดเบาๆ มันสั่นไหวอย่างมีชีวิตชีวา เราเห็นความเป็นชีวิตอยู่ในนั้น เห็นความงามอยู่ตรงนั้นได้
# อาชีพที่มั่นคงที่สุดในโลกปัจจุบันคือ อาชีพเกษตรกร เพราะเป็นอาชีพเดียวที่กำอาหารไว้ในมือ ในขณะที่โลกกำลังแปรปรวนสุดขั้ว สิ่งที่มั่นคงสูงสุดในชีวิตของเราคืออาหาร ฉะนั้น ถ้าเรารู้จักการปลูกอาหารได้ เราจะมีความมั่นคงสูงสุด
# คนเมืองสามารถเชื่อมต่อกับคนชนบทได้ เพื่อให้เขาส่งพืชพันธุ์ธัญญาหารที่ดีมาให้เราบริโภคในเมือง นอกจากนี้ในวันหยุดและวันว่าง คนเมืองสามารถออกไปเยี่ยมคนชนบท เพราะชีวิตไม่ควรตัดขาดจากกัน ถึงแม้ว่าเราอยู่ในเมือง เราก็สามารถรู้ว่าข้าวปลาอาหารที่เรากินมาจากไหน ใครเป็นคนปลูก วันว่างเราอาจไปช่วยเก็บไข่ หรือช่วยถอนหญ้า ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อชีวิตเข้าหากัน
รักษาธรรมชาติโดยลดบริโภคเกินจำเป็น
คุณโจน ให้ทัศนะถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดวิกฤติการอยู่ร่วมกันและระบบการเงินพังทลายภายในไม่เกิน 10 ปีข้างหน้าว่า ทรัพยากรธรรมชาติเริ่มจะหมดลง ขณะที่คนยังต้องการเงินและบริโภคอย่างไร้ขอบเขต เขาได้แนะสิ่งที่ควรเตรียมให้ดีที่สุดคือ การฝึกตัวเองให้มีความสามารถในการพึ่งตนเอง ได้แก่ 1) มีปัจจัยสี่ อาหาร บ้าน ผ้า และยา 2) มีเมล็ดพันธุ์ของตัวเอง คือเมล็ดพันธุ์อาหารทั้งหมดที่เรากินอยู่เพื่อกลับสู่พื้นดินและพัฒนาดินให้อุดมสมบูรณ์ 3) สร้างครอบครัวและชุมชนให้มีความอบอุ่น และแข็งแรง
ถึงกระนั้น วิกฤติดังกล่าวสามารถยืดเวลาออกไปหรือไม่เกิดขึ้นเลย ก็ด้วยการลดการบริโภคลงในทุกๆ ด้านตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้ธรรมชาติได้มีเวลาสร้างขึ้นมาทดแทน และสามารถกลับไปสู่วงจรของความยั่งยืนได้ เพื่อให้เรามีธรรมชาติที่งดงามหล่อเลี้ยงร่างกายและจิตใจเราไปอีกนาน

ศ.ระพี สาคริก อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสบความสำเร็จในการค้นคว้าและส่งเสริมกล้วยไม้ไทยทั้งในด้านการปรับปรุงพันธุ์ ขยายพันธุ์ตลอดจนการส่งออกไปต่างประเทศ ซึ่ง อ.ระพี ได้นำเรื่องกล้วยไม้มาเชื่อมโยงกับการบ่มเพาะวิญญาณของความรักในเพื่อนมนุษย์

คุณโจน จันใด เกิดที่จังหวัดยโสธร เคยผ่านการทำงานหลายรูปแบบระหว่างอยู่กรุงเทพฯ เป็นเวลา 7 ปี ซึ่งทำให้เขาพบว่า ยิ่งทำงานหนักกลับยิ่งไม่ได้อะไรและไม่มีอะไรติดตัวเลย จึงเกิดความรู้สึกว่า จะดิ้นรนไปทำไม เมื่อทุกคนทำงานหนัก แต่กลับต้องทำลายทรัพยากรทั้งหมด เขาจึงกลับไปหาวิถีที่ทำให้เกิดการอยู่แบบยั่งยืนคือ การอยู่กับธรรมชาติ โดยธรรมชาติไม่ถูกทำลาย เขากลับไปอยู่จังหวัดยโสธรอีกเกือบสิบปี ทำนาอินทรีย์ บุกเบิกการสร้างบ้านดิน ทำเกษตรกร ต่อมาได้ย้ายไปอยู่จังหวัดเชียงใหม่จวบจนปัจจุบันเป็นเวลากว่าสิบปี
แหล่งที่มาhttp://www.happinessisthailand.com/2014/05/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3/

โลกนี้สวยงามเสมอ แม้ในมุมที่เราไม่เคยมอง

เอนทรี่นี้ก็ยังวนเวียนอยู่แถวระยองค่ะ ไปเที่ยวทะเลทั้งทีก็ต้องไปเก็บภาพท้องทะเลมาฝากกันหน่อย
ใจจริงตอนแรกไม่อยากถ่ายเลย เพราะเห็นแสงแดดจัดจ้านมากเกรงว่าจะกลายเป็นปลาหมึกตากแห้งไปซะก่อน  อีกทั้งเคยพยายามถ่ายรูปทะเลแล้วไม่ค่อยได้ภาพสวยดังใจเหมือนชาวบ้านเขาสักที เลยคิดว่าจะวางมือ หันไปถ่ายภาพอาหารทะเลน่าจะเวิร์คกว่า

แต่ขณะที่พี่สาวขับรถเลียบชายหาดแม่รำพึงไปเรื่อยๆ ฉันต้องรีบตะโกนให้พี่ห้ามล้อให้หยุดวิ่ง เมื่อสายตาเห็นผืนทรายอันเวิ้งว้างกินลึกเข้าไปจนเหลือผิวน้ำทะเลสีเขียวอันน้อยนิด เรือประมงติดธงชาติไทยจอดเกยหาดท้าทายความร้อนแรงของแสงแดดอย่างไม่สะทกสะท้าน

ฉันคว้ากล้องคอมแพ็คคู่ใจ พร้อมเดินกางร่มเพื่อกันไอแดดอย่างเต็มที่ คงอีกหลายชาติกว่าฉันจะถ่ายภาพได้ดีตราบใดที่ยังวิ่งหนีแดดอยู่อย่างนี้  ฉันรู้ตัวมานานแล้วว่าคงเอาดีทางด้านนี้ยาก เพราะเคยมีประสบการณ์ร่วมทริปไปกับกลุ่มนักถ่ายภาพอยู่ครั้งหนึ่ง จากการเชิญชวนของเพื่อนที่ชอบการถ่ายภาพเหมือนกัน ทันทีที่ถึงจุดหมายและรถจอดสนิท ทุกคนกรูลงจากรถเดินลุยถ่ายรูปมุมนั้น มุมนี้ ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนระอุอย่างเมามัน

แต่ฉันเลือกที่จะนั่งรออยู่ในรถตู้
เวลาผ่านไปนับชั่วโมง เหล่าตากล้องก็ยังตระเวณถ่ายภาพกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย 

แต่ฉันก็ยังนั่งหลับอยู่ในรถตู้ (555)
วันนั้นแหละที่ฉันบอกกับตัวเอง...อืม เอาแค่ถ่ายเล่นๆ ไม่ต้องเก่งหรอกเนอะ มันเหนื่อยเกินไป (อิอิ)
นิสัยอย่างนี้อย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะคะ 










..
..
..
..
..
..
โลกนี้สวยงามเสมอ
แม้ในยามที่หัวใจสลาย
ยิ้มเถอะ...ถ้ากำลังมีเสียงสะอื้น
เพราะเราต้องเดินต่อไป

ขอเป็นกำลังใจให้นายกอภิสิทธิ์
ภาพ...วิตามินบี
กล้อง...คอมแพ็คแคนนอน


แหล่งทีมาhttp://www.oknation.net/blog/babymind/2010/05/06/entry-1